สวัสดีค่ะเพื่อนๆแฟนเพจที่น่ารักทุกคน วันนี้ก็มาพบกับเรากันอีกเช่นเคยพร้อมกับเรื่องราวสาระความรู้ ที่นำมามอบให้กับเพื่อนๆได้รับชมและติดตามกันอยู่เสมอ ซึ่งวันนี้เรื่องราวที่เรานำมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันในวันนี้นั้น บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ใกล้ตัวเรามาก จึงจำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมและรับมือในการแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดอาการเหล่านี้ นั่นก็คืออาการเบลอ วูบบ่อย  ที่ทำให้เกิดความรุนแรงและอันตรายต่อสมองอีกด้วย

กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคลมชัก หรือ ลมบ้าหมู ประเภทที่ไม่มีอาการชักเกร็งมากถึง 650,000 คน แต่ได้รับการรักษาน้อยเพียง 1 ใน 10 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งถือว่าโรคนี้กำลังเป็นภัยเงียบที่สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งมีอาการเบลอ เหม่อลอย ตาค้าง วูบบ่อย โดยอาการเหล่านี้ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมชักหรือลมบ้าหมูแบบไม่ทันตั้งตัวได้ หากไม่ได้รับการรักษาและปล่อยให้มีอาการลักษณะนี้บ่อยๆ อาจส่งผลให้เป็นโรคสมองเสื่อมไวและส่งผลให้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชซ้ำซ้อนตามมา

สาเหตุหลักของโรคลมชักเกิดจากเซลล์สมองที่มีนับล้านเซลล์ที่ทำงานเชื่อมโยงกันเหมือนวงจรไฟฟ้าและปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาผิดปกติพร้อมกันอย่างเฉียบพลัน จึงส่งผลให้การควบคุมการทำงานของสมองเสียไปชั่วขณะ  ซึ่งโรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากกรรมพันธุ์ ติดเชื้อในสมอง สมองขาดออกซิเจน ดื่มสุรา อุบัติเหตุทำให้เกิดแผลเป็นในสมอง หรือเซลล์สมองอยู่ผิดที่ หรือมีเนื้องอกในสมอง

อาการของโรคลมชัก แบ่งเป็น 2 ลักษณะอาการ คือ

1. อาการชักกระตุกเกร็งไปทั้งตัวคล้ายกับลมบ้าหมู ลักษณะการชักแบบนี้จะเห็นได้ชัดเจน คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยและรู้จักว่าโรคลมบ้าหมู

2. อยู่ดี ๆ ก็มีอาการแบบเบลอ ๆ เหม่อลอย ไม่รู้สึกตัวหรือที่เรียกว่า “อาการวูบไปชั่วขณะ” อาจมีตาค้างหรือตาเหลือกด้วยก็ได้ ส่วนมากมักพบในเด็กอายุ 6-14 ปี

 

การช่วยเหลือผู้ป่วยโรคลมชัก

1. ตั้งสติให้ดี ระวังไม่ให้ผู้ป่วยเกิดอันตรายจากการชัก ไม่สำลักน้ำลายหรืออาหาร โดยให้จับศีรษะและลำตัวตะแคงไปด้านข้าง

2. ดูแลไม่ให้มีสิ่งของที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยมากระทบกับผู้ป่วยโดยตรง เช่น กาน้ำร้อน หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นของแข็ง เพื่อไม่ให้แขนขาของผู้ป่วยมากระแทก

3. หากเป็นไปได้ ให้บันทึกภาพเคลื่อนไหวของอาการชักที่เกิดขึ้นด้วย เพื่อนำไปให้แพทย์วินิจฉัยแยกอาการชักจากโรคลมชักกับโรคอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญยังเป็นการช่วยเหลือแพทย์ในการวินิจฉัยหาแนวทางการรักษาได้อีกด้วย